อย่างที่ทราบกันดีโดยทั่วไปคลังสินค้าจะทำหน้าที่จัดเก็บสินค้า, วัตถุดิบ หรือเก็บงานระหว่างการผลิต เป็นหลัก
แต่ทราบกันหรือไม่คะว่า คลังสินค้านั้นมีหลายประเภท ซึ่งจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปอีก
ซึ่งทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการแบ่งประเภท โดยจำแนกหลักๆ ได้ดังนี้
1. ตามลักษณะธุรกิจ 2. ตามลักษณะงาน และ 3. ตามลักษณะสินค้า
1. ประเภทของคลังสินค้าแบ่งตามลักษณะธุรกิจ
1.1. คลังสาธารณะ (Public warehouse)
picture credit : http://bit.ly/2PwpKCG
เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ว่าคลังสาธารณะนั้นทำงานอย่างไร มาดูกันตามรูปด้านล่างเลยค่ะ
จะเห็นได้ว่าคลังสาธารณะนั้น จะมีสินค้าของคนอื่นหลากหลายมาอยู่ในโกดัง โดยเจ้าของสินค้าจะต้องจ่ายค่าเช่าให้เจ้าของคลังในการเก็บสินค้านั่นเอง ซึ่งประเภทนี้ ก็จะมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกันดังนี้
ตามมาด้วยประเภทต่อไปในการแบ่งตามลักษณะธุรกิจนี้ คือ
1.2. คลังส่วนตัว (Private warehouse)
picture credit : : http://bit.ly/2ykH07r
โดยคลังส่วนตัวนั้น ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ส่วนตัว (Private) เพราะฉะนั้น จะเป็นคลังที่เก็บสินค้าของตัวเองไว้เท่านั้น ดังคำอธิบายด้านล่าง
ต่อด้วย 2. คลังสินค้าประเภทตามลักษณะงาน ได้แก่ 2.1 คลังสินค้าแบบศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center : DC), 2.2 คลังสินค้าแบบศูนย์รวมรวบและกระจายสินค้า (Cross Dock) และ 2.3 คลังสินค้าแบบ Fulfilment Center
2. คลังสินค้าประเภทตามลักษณะงาน
2.1 คลังสินค้าแบบศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center : DC)
picture credit : http://bit.ly/2ynrbwC
ทำหน้าที่เป็น คลังสินค้า (Warehouse) และเป็น หน่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต กับ ผู้ขายปลีก จะเป็นผู้ให้บริการทางด้านการจัดเก็บสินค้าและการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ อย่างทันเวลาและถูกต้องตรงตามความต้องการ
DC ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ให้บริการภายนอก(Outsource) หรือ Third Party Logistics Service Providers (3PL) จะรับสินค้าจากผู้ผลิตแต่ละรายมาเก็บในคลังสินค้าของตน โดยส่งสินค้าแทนผู้ผลิตไปสู่ผู้รับ
ผู้ผลิตสามารถขนส่งมาที่ DC เพียงแห่งเดียว โดย DC จะทำการกระจายสินค้าสู่ผู้ขายปลีกตามที่ผู้ขายปลีกต้องการ โดยผู้ขายปลีกไม่จำเป็นต้องมีที่เก็บสินค้าคงคลังจำนวนมาก
picture credit : http://bit.ly/2Ow9zck
ประโยชน์ที่เกิดขึ้นนี้ คือ
– การลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งของผู้ผลิต ไปสู่ผู้ขายปลีกหรือลูกค้าแต่ละราย
– ค่าใช้จ่ายส่วนวัสดุคงคลังของร้านขายปลีกก็ลดลง ทำให้มีความได้เปรียบในด้านการแข่งขันทั้งด้านราคาและความรวดเร็วในการบริการ
2.2 คลังสินค้าแบบศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า (Cross Dock)
ใช้ในการ รับ และ ส่งสินค้าในเวลาเดียวกัน หรือ ใช้ในการขนถ่ายจากพาหนะหนึ่งไปสู่อีกพาหนะหนึ่ง โดย Cross Dock จะทำหน้าที่เป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างรูปแบบการขนส่ง ซึ่งอาจเป็นจากซับพายเออร์หลายราย แล้วนำมาคัดแยกรวมรวม บรรทุก เพื่อจัดส่งให้ลูกค้าแต่ละราย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านผู้ขายปลีก หรือร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะมี ความต้องการสินค้าย่อยที่หลากหลาย
จะเห็นว่า Cross Docking และ DC มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของลักษณะงานในส่วนของการรวมสินค้าจากหลายแหล่ง แล้วกระจายไปยังร้านค้าอื่นๆ หากแต่จะมีดีเทลภายในคลังที่ต่างกัน ดังนี้
picture credit : http://bit.ly/2RcTcOJ
ที่เห็นได้ชัด คือ Cross docking จะมีระยะเวลาในการเก็บสินค้าที่สั้นกว่า DC คือจะน้อยกว่า 24 ชม. และจะมีขั้นตอนในการรับและส่งของที่รวดเร็วกว่า DC คือจะไม่มีการกระจายสินค้า (Putaway) และไม่มีการเติมสินค้า(Replenishment) และไม่ต้องมาหยิบสินค้าจากชั้นวางใหม่ เพียงนั่นเอง
2.3 คลังสินค้าแบบ Fulfilment Center
picture credit : http://bit.ly/2QQ8toj
หัวใจหลักของการทำงานจะคล้ายคลึงกับ 2 ประเภทด้านบน (DC และ Cross Dock) คือ คลังสินค้าที่รับสินค้าจากบริษัทในเครือ, บริษัทลูก หรือจากบริษัทใดๆ แล้วนำสินค้ามาจัดการใส่บรรจุภัณฑ์ บรรจุสินค้าลง Package และจัดส่งสินค้าให้ พร้อมกับมีคลังให้เก็บสินค้าได้ด้วย กล่าวคือ การรวมตัวของ 3 บริการ คือ…
Picture Credit : http://bit.ly/2ylLwTj
ซึ่งวิธีการนี้ จะทำให้การจัดส่งของออนไลน์สะดวกสบายมากขึ้น เพราะ Fulfilment Center จะเป็นผู้ดำเนินการจัดส่งสินค้าแทนทั้งหมด รวมถึงการออกค่าจัดส่งสินค้าให้ก่อนด้วย สิ่งเดียวที่ผู้ขายต้องทำ คือ การส่งสินค้ามาให้ทางคลัง Fulfilment Center เก็บรวบรวม และส่งรายละเอียด Order ให้ทางคลัง
Picture Credit : http://bit.ly/2ylLwTj
การให้บริการแบบคลังสินค้าประเภท Fulfilment Center ที่โด่งดังในปัจจุบัน คือ http://www.AMAZON.com ที่มีชื่อเรียกว่า Fulfillment By Amazon หรือ ที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า FBA นั่นเอง
คลิกที่นี่ เพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับ FBA
ตบท้ายกันด้วยประเภทสุดท้าย คือ 3. คลังสินค้าประเภทตามลักษณะสินค้าที่เก็บรักษา ได้แก่ 3.1 คลังสินค้าทั่วไป, 3.2 คลังสินค้าของสด, 3.3 คลังสินค้าอันตราย, 3.4 คลังสินค้าพิเศษ
3. คลังสินค้าประเภทตามลักษณะสินค้าที่เก็บรักษา
3.1 คลังสินค้าทั่วไป
Picture Credit : http://bit.ly/2Ad4j4c
ทำหน้าที่เก็บสินค้าหลากหลายที่ไม่ต้องการการรักษาดูแลเป็นพิเศษ อาทิเช่น สินค้าอุปโภคและเครื่องใช้สอยทั่วไป เป็นต้น
3.2 คลังสินค้าของสด
Picture Credit : http://bit.ly/2yjFNgL
ทำหน้าที่เก็บสินค้าที่เป็นของสด อาทิเช่น อาหาร ผัก ผลไม้ และ เครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ต้องการการรักษาดูแลเป็นพิเศษด้วยการควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อรักษาความสดใหม่ของสินค้า
3.3 คลังสินค้าอันตราย
Picture Credit : http://bit.ly/2ChUXWx
อาทิเช่น สารพิษ สารเคมี เชื้อเพลิง และ วัตถุระเบิด เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่ต้องระวังในการจัดการคลังสินค้าประเภทนี้ !!!!
– ต้องจัดการแยกประเภทของวัตถุอันตรายและจัดเก็บให้เหมาะสมตามหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์ของวัตถุนั้นๆ
– ต้องมีผู้ควบคุมดูแลระบบบำบัดมลพิษ ซึ่งจะต้องได้รับใบอนุญาตโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม
– การจะสร้างคลังสินค้าประเภทนี้ จะต้องขออนุญาตจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง
3.4 คลังสินค้าพิเศษ (ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น)
Picture Credit : http://bit.ly/2CNCbY3
มักจะมีขนาดเล็ก เพื่อใช้เก็บสินค้าที่มูลค่าสูง ซึ่งต้องได้รับการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม เพื่อคงคุณสมบัติของสินค้าไว้ให้มีอายุยืนยาว ตัวอย่างสินค้าได้แก่ ยา และเครื่องเวชภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงสารเคมีบางชนิด
สิ่งสำคัญที่ต้องระวังในการจัดการคลังสินค้าประเภทนี้ !!!!
– ต้องมีการศึกษารายละเอียดเฉพาะทางเกี่ยวกับการเก็บสินค้าเหล่านี้เพิ่มเติม และต้องผ่านการขออนุญาตอย่างถูกต้อง
รู้ถึงประเภทต่างๆ ของคลังสินค้าอย่างนี้แล้ว
ก็ต้องเลือกใช้บริการให้ถูกต้องตามความต้องการ และความเหมาะสมกันด้วยนะคะ
ไม่ใช่แค่เพื่อความสะดวกสบาย และประหยัดงบประมาณ
แต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ควรคำนึงด้วยนั่นเอง