Cubism (1907-1920) เป็นศิลปะงานยุโรป ที่มีลักษณะในการสร้างภาพลวงตา ภาพในจินตนาการ เน้นไปที่การใช้สีและเส้น ศิลปินในยุคนั้นเน้นสร้างสรรค์ผลงานออกมาในรูปแบบของสิ่งที่พวกเขาคิดมากกว่าที่จะเป็นสิ่งที่พวกเขาเห็น สำหรับสไตล์นี้ศิลปินที่เป็นเหมือนผู้ริเริ่มสร้างการเคลื่อนไหวศิลปะแนวใหม่ในสมัยนั้น “Cubism” คือ Pablo Picasso และ Georges Braque โดยได้รับอิทธิมาจากศิลปะแอฟริกัน

ในระหว่างปี 1907 ถึง ปี 1909 ถูกเรียกว่ายุค “Negro Mask” ซึ่งเป็นยุคสมัยของศิลปะคิวบิส (Cubism) ที่มีลักษณะการใช้รูปทรงของสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ มากกว่าการใช้ลักษณะจากธรรมชาติ เน้นการสร้างผลงานจากรูปทรงเรขาคณิต และสีที่ใช้นั้นจะเป็นลักษณะสีมัว ไม่สด ไม่รุนแรง เรียบง่าย หรืออาจเห็นงานที่แสดงความตื้นลึกของภาพแม้จะอยู่ในระนาบเดียวกัน เป็นเหมือนการแก้ปัญหาภาพวาดสองมิติทีมีอยู่ที่สามารถเห็นได้เพียงด้านเดียว และที่สำคัญที่สุดศิลปะสไตล์นี้ใช้กฎของการควบคุมความรู้สึก อารมณ์ การแสดงออกในจังหวะที่สร้างผลงานนั้นๆ

ตัวอย่างเช่นงาน Les Demoiselles d’ Avignon ที่มีลักษณะเป็นภาพของหญิงสาวในเมืองบาร์เซโลนา ย่านโสเพณี ผู้หญิงทั้ง 5 คนในภาพเปลือย เป็นอีกหนึ่งผลงานที่เป็นเหมือนการปฏิวัติรูปแบบของศิลปะตะวันตกที่เคยมีมา จากภาพตัวอย่างจะเห็นได้ว่าบริเวณสว่างในภาพจะมีทั่วบริเวณทั้งภาพเป็นจุดๆ ตามแต่ศิลปินจะแต่งเติม ใบหน้าคนที่เหมือนการใส่หน้ากาก รูปทรงต่างๆที่นำมาตัดกันดูแข็งๆ ซึ่งมันแสดงออกในมุมมองความขัดต่อศีลธรรม และความกร้านของหญิงสาวในภาพได้เป็นอย่างดี
ลักษณะงานจิตรกรรม คิวบิสม์
- ส่วนใหญ่จะเป็นรูปทรงเรขาคณิต
- เป็นภาพที่เกิดจากการตัดกันของชิ้นส่วน ลักษณะการตัดทอน
- มีรูปแบบของลูกบาศก์จึงถูกใช้ชื่อ Cubism
- แสดงเรื่องราวของชีวิตที่ยุ่งเหยิง ทั้งรูปทรงและสี
- แสดงมิติ ด้วยรูปทรงที่แตกต่างกันซ้อนกัน มีทั้งโปร่งใส คล้ายภาพเอกซเรย์
- เป็นลักษณะของนามธรรม
Dadaism เป็นลัทธิที่เกิดจากการรวกล่มของศิลปิน AVANT-GARDE แสดงการต่อต้าน ถากถาง ประชดประชัน เสียดสีสังคม สภาพแวดล้อมต่างๆ สะท้อนถึงสาเหตุต่างๆที่ทำให้เกิดสงคราม รวมไปถึงการเยาะเย้ยความงามของศิลปะสไตล์อื่นๆ พวกเขาสร้างงานที่มีลักษณะเป็นเหมือนเรื่องไร้สาระ ดูตลก

ลักษณะที่น่าสนใจของสไตล์นี้คือการนำเอา สิ่งของหรือวัตถุที่ประกอบเสร็จ(Ready Made) มาปรับแต่งหรือเพิ่มเติมรายละเอียด แสดงออกให้เห็นอีกมุมของศิลปะ เพระาสไตล์นี้มีความเชื่อว่าทุกสิ่งของศิลปะ ของธรรมดาที่ใช้กันทั่วไปทุกๆวันสามารถพบเห็นคุณค่าทางศิลปะได้ หากมีการจัดวาง นำหลายๆอย่างมาประกอบรวมกัน หรือดัดแปลงเพิ่มเติม ยกตัวอย่างเช่นงานศิลปะ “Fountain” ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Marcel Duchamp แกนนำคนสำคัญของ Dadaism ในปี 1917 เขาใช้โถฉี่ไปวางแสดงในแกลลอรี่ แสดงถึงขบถความคิดที่ต่อต้านรูปแบบดั้งเดิมแบบสุดโต่ง

และมีอีกหลายๆงานที่มีชื่อเสียงเช่น งาน My botton ของ Zeren Bader ,



johnheartfield.com
ศิลปะกลุ่ม “เซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism)” เป็นอีกกลุ่มที่มีฐานความคิดมาจากศิลปะสไตล์ Dadaism มีแกนนำโดย อ็องเดร เบรอตง” (ANDRE BRETON) ที่ยังคงความคิดของลัทธิดาด้าในเรื่องของขบถต่อกฎเกณฑ์ที่มีอยู่เดิมและมุ่งทำลายค่านิยมของคนชนชั้นกลาง ผลงานที่เป็นเหมือนตัวแทนของสไตล์นี้เลยคือ The lover ของศิลปินชื่อ Rene Magritte

สไตล์นี้จะเน้นไปที่ทฤษฎี จิตไร้สำนึก ของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ” (SIGMUND FREUD) ใช้การเชื่อมโยงเสรีเข้ามาใช้ในงานศิลปะ หมายถึงการไม่สนใจเรื่องเหตุผลหรือตรรกะความเป็นจริงใดใดบนโลกทั้งสิ้น ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง จุดเด่นเลยของงานลักษณะนี้คือความเพ้อฝันเกินความเป็นจริง


สาเหตุที่กลุ่ม Surrealism แยกตัวออกมาจากกลุ่ม Dadalism เป็นเพราะต้องการออกมาสร้างค่านิยมใหม่เนื่องจากพวกเขาต่อต้านความคิดทางวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งเน้นไปที่การหาเหตุผล พวกเขาเชื่อว่าสงครามที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากระบบความคิดในจิตสำนึกที่เป็นใหญ่เหนือมนุษย์ จึงเป็นกลุ่มที่สร้างเส้นทางใหม่ๆต่อจาก ดาด้าที่ได้เริ่มไว้
