Introduction

ตลาดการขายสินค้าในยุคปัจจุบัน Branding เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะธุรกิจรายเล็ก หรือ รายใหญ่ หรือจะเป็น SMEs หรือ Global Brand ก็ต้องเริ่มต้นด้วยสิ่งนี้ นอกจากนี้การเริ่มต้นคิดค้น Brand สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจหรือค้าขายสินค้าบนโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่ยากและต้องใช้ทั้งความรู้และประสบการณ์ หากเริ่มต้นโดยไม่มีความรู้หรือรู้จักการทำ Branding ที่เข้าใจอาจเกิดข้อผิดพลาดมากมาย ไม่ว่าจะการไม่ตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมาย การทำ Packaging ที่ดึงดูด และอื่น ๆ ดังนั้นเราจึงขอยกสินค้าและกระบวนการการสร้าง Brand ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อที่จะช่วยคุณพัตนาแนวคิดของตนเองและสามารถนำไปปรับใช้สำหรับสินค้าที่คุณต้องการขยายไปขายบนเว็บไซต์
Creamy K แบรนด์กะทิผงตอบโจทย์ผู้บริโภควีแกน

Creamy K เป็นอีกหนึ่ง Brand ของบริษัทเทอเรสเทรียล ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ทางบริษัทได้เริ่มต้นตั้งแต่การวิจัยตลาด ออกแบบผลิตภัณฑ์ คำนวณปริมาณ ออกแบบบรรจุภัณฑ์(Packaging) และการนำสินค้าเข้าสู่ตลาด Amazon.com ที่ประเทศอเมริกา
หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ Creamy K เป็นกะทิผงในรูปแบบซองที่สามารถฉีกผสมทานและสะดวกต่อการพกพา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ แต่ไม่ต้องการดื่มนมวัวหรือมี Lifestyle การใช้ชีวิตแบบวีแกน(เจ) หรือไม่บริโภคสินค้าที่มีส่วนผสมจากสัตว์ โดยสินค้าตัวนี้เปิดตัวบนเว็บไซต์ Amazon.com ในปี 2019 และได้รับผลตอบรับในทางที่ดีและเป็นที่นิยม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับสินค้าที่อยู่ระดับต้น




เนื่องจากผลตอบรับที่ดีทำให้ในช่วงปลายปี 2020 จึงได้ออกอีกหนึ่งขนาดมา ซึ่งในตอนนี้ Creamy K ได้วางจำหน่ายทั้งหมด 2 ขนาด ซึ่งการออกแบบทั้งหมดก็มาจากทีมการตลาดของบริษัทเทอเรสเทรียลเอง


การที่จะทำให้สินค้าประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องทำอย่างไรบ้าง หนึ่งในสิ่งที่สำคัญคือการวิจัยตลาด ก่อนที่จะไปพัฒนาในส่วนอื่น ๆ อย่างเช่นการผลิต หรือในการด้านการทำเอกสารต่าง ๆ
2 ส่วนสำคัญ ที่จะสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จ
ส่วนที่ 1: Marketing (ตลาด)

จากการวางแผนกลยุทธ์ที่ผ่านมาของบริษัท เราจึงมีกลยุทธ์ที่อยากจะแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการทำสินค้าหรือขยายตลาดของตัวเองในการขายสินค้าออนไลน์ โดยทางเราใช้วีธี 3 Step process ในการวิเคราะห์ตลาด
3 Step process ขั้นตอนเหล่านี้สำคัญอย่างไร? และทำไมจึงควรที่จะศึกษา?
Step 1: ตรวจสอบขนาดของตลาด
หากเราไม่ศึกษาตลาด ธุรกิจหรือสินค้าของคุณอาจไม่สำเร็จ ยกตัวอย่างการจำลองเหตุการณ์หากเราต้องการเปิดร้านกาแฟ แต่ไม่มีการศึกษาสถานที่หรือตลาด คุณคิดว่าธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ บางครั้งอาจมีความโชคดีหรือประสบความสำเร็จ แต่หากในกรณีจำลองเหตุการณ์ในบริเวณที่คุณต้องการลงทุนมีร้านกาแฟหลายร้านและธุรกิจไม่รุ่งเรือง ไม่สบความสำเร็จ คุณยังคิดว่าต้องการที่จะลงทุนในบริเวณนั้นหรือไม่ แน่นอนว่าการตัดสินใจลงทุนอาจทำให้เสียเวลาและทุนโดยเสียเปล่า ซึ่งกรณีศึกษาการจำลองเหตุการณ์เหล่านี้สามารถเป็นตัวตัดสินใจได้ว่า ไม่ควรลงทุนในบริเวณเหล่านั้น

ขั้นตอนแรกนี้ ทางเราจึงแนะนำให้เช็คตลาดดูก่อนว่ามีความต้องการสินค้าของคุณหรือไม่ และในการลงทุนครั้งนั้นจะคุ้มค่าหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการขายสินค้าจำนวน 100 ชิ้นต่อเดือน ความต้องการสินค้านั้นจำเป็นต้องมีมากกว่า 100 ชิ้น
ในการคำนวนความต้องการนี้สามารถคำนวนได้จากการใช้โปรแกรมต่าง ๆ โดยโปรแกรมที่คุณสามารใช้ได้ ได้แก่โปรแกรม Helium 10 และ Jungle Scout แต่ทั้งสองโปรแกรมนี้ไม่ได้มีความแม่นยำมากนัก คุณสามารถอ่านข้อเปรียบเทียบ 2 โปรแกรมนี้ได้
Helium 10 Vs Jungle Scout ต่างกันยังไง




Step 2: ตรวจสอบความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์
หลังจากการศึกษาเกี่ยวกับขนาดตลาด แต่ยังไม่หมดแค่นั้น ถึงแม้ว่าตลาดของคุณจะมีขนาดใหญ่พอสำหรับการเข้าไปแต่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะเข้าไปทันที คุณจำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มอีก 4 ด้าน และแนะนำว่าสินค้านั้นจะต้องเข้าข่ายอย่างน้อย 1 ข้อก่อนที่จะเริ่มเข้าตลาด

4 ข้อที่ควรตรวจสอบ (แนะนำว่าสินค้าจะต้องเข้าข่ายอย่างน้อย 1 ข้อก่อนที่จะเริ่มเข้าตลาด)
1.สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคุณมีลักษณะเฉพาะหรือเป็นเอกลักษณ์หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการขายผ้าพันคอ สินค้ามีลักษณอะไรที่ต่างออกไป มีสี วัสดุ หรือการออกแบบที่แตกต่างกันที่ยังไม่มีคนอื่นทำหรือไม่
2.เราสามารถสร้างแบรนด์ได้ดีกว่าคู่แข่งหรือไม่ การสร้างแบรนด์ของเรามีความแข็งแรงและมีความน่าสนใจหรือไม่ แบรนด์ในที่นี้รวมถึงโลโก้ เรื่องราว และบรรจุภัณฑ์ หากคุณมีแบรนด์ที่ดีก็มีโอกาสที่จะชนะใจผู้บริโภค
3.ราคาถือเป็นหลักสำคัญ หากเราสามารถตั้งราคาแข่งกับคู่แข่งได้หรือไม่ โดยที่เรายังคงทำกำไรได้
4.ชื่อเสียงของคู่แข่งของเรามีมากน้อยแค่ไหน

Step 3: ตรวจสอบผู้ขาย

เมื่อตรวจสอบว่าขนาดตลาดมีใหญ่พอและได้ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์นั้นเข้าเข้าข่ายอย่างน้อยหนึ่งข้อจากท้ังหมด 4 ข้อ คุณก็พร้อมที่ก้าวไปยังขั้นตอนต่อไป นั้นก็คือ การตรวจสอบผู้ขาย โดยตรวจสอบทั้งหมด 4 ข้อเช่นกัน
- 1. ราคา
- 2. ปริมาณ
- 3. คุณภาพ
- 4. เวลา
4 ข้อเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับส่วนที่ 2 ซึ่งเราจะอธิบายอย่างละเอียดในส่วนต่อไป
ส่วนที่ 2: Operations (การดำเนินการ)
ในส่วนของการดำเนินการ เราแนะนำว่าให้ตรวจสอบ 4 ข้อหลักเหล่านี้ แต่โดยปกติแล้วในด้านการผลิต คุณอาจจะไม่สามารถเข้าข่ายทั้งหมด 4 ข้อ เพียงแค่เข้าข่ายอย่างน้อย 2 ข้อก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี

1.ราคา: ราคาในที่นี้หมายถึงราคาของการผลิต (หรือราคาขายส่ง) เป็นราคาที่ยอมรับได้หรือไม่และขายสินค้าใน Amazon และยังคงทำเงินได้หรือไม่?
2.จำนวน: เราสามารถผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการได้หรือไม่? หัวข้อนี้จะสำคัญกว่าหัวข้ออื่นเพราะหากสินค้าเราขายดีกำลังในการผลิตจะต้องเพิ่มขึ้นตาม
3.คุณภาพ: สามารถผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการด้านคุณภาพของเราได้หรือไม่ บางครั้งคุณอาจได้รับราคาที่ดี แต่คุณภาพไม่ดีและในทางกลับกัน บางครั้งมันก็อาจจะคุ้มค่าที่จะซื้อสินค้าราคาถูกจำนวนมากทั้งที่รู้ว่าจะมีข้อบกพร่องมากมายตามมา ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของคุณ
4. เวลาในการผลิต: ระยะเวลาการผลิตมักจะสัมพันธ์กับปริมาณที่ผลิตได้ หากคุณต้องการสินค้าเพิ่มแต่โรงงานไม่สามารถผลิตได้ในระยะเวลานั้น อาจทำให้คุณเสียเวลา และโปรดจำไว้ว่าโรงงานที่ผลิตช้าเกินไปจะหมายถึงเงินของคุณผูกติดอยู่กับสินค้าคงคลังนั้น
สำหรับสินค้า Creamy k เราสามารถตอบโจทย์ได้ทั้ง 4 ข้อทั้งเวลา จำนวน คุณภาพ และราคา เพราะเราใช้เวลาในการหาผู้ผลิตที่ร่วมมือกับเราได้ ส่งผลให้เราสามารถทำเข้าข่ายทั้ง 4 ข้อ

หลังจากที่วิจัย 2 หัวข้อหลัก(Marketing, Operation) แล้วจะทำให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าการผลิตผลิตภัณฑ์เหล่านั้นออกมาจะสำเร็จหรือไม่ และเดินทางไปสู่ขั้นตอนต่อไป เป็นการสำรวจว่าสามารถนำสินค้าเหล่านั้นเข้ามาในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่ นี่เป็นจุดที่จำเป็นต้องการทราบและทำการบ้านเพื่อศึกษากฏหมายและข้อกำหนดการส่งออกและนำเข้าของสหรัฐอเมริกา

ส่วนสุดท้ายของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มักจะถูกมองข้ามคือ..
เอกสารหรือแอดมิน ซึ่งจุดนี้สามารถชี้ถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวได้เป็นอย่างดี คุณอาจจะกำลังพยายามอย่างหนักสำหรับการออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์ของตัวเอง และรับค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจะมากเกินไป แต่ไม่ได้ศึกษาด้านเอกสารจากโรงงาน เอกสารภาษี หรือเอกสารด้านอื่น ๆ
ฉะนั้นขั้นตอนที่ 3 นี้จึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาไปด้วยระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของคุณ
ซึ่งบริษัทเทอเรสเทรียลมีประสบการด้านการส่งออกและนำเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา จึงทำให้การผลิตสินค้าออกมานั้นสามารถตอบโจทย์และส่งออกไปยังประเทศอเมริกาได้
ทำไมต้องเทอเรสเทรียล

ประการที่ 1 เทอเรสเทรียลได้นำสินค้าจากประเทศไทย ปรับแบรนด์ บรรจุภัณฑ์ให้ผู้ส่งออกสินค้าไปขายมาแล้วหลายราย ด้วยประสบการณ์นี้เราจึงสามารถให้แนะนำที่ตรงจุด การปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์จะไม่ทำให้คุณเสียเวลากับลองผิดลองถูก และอาจไม่เห็นผล
ประการที่ 2 นอกจากการส่งออกและนำเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ทางบริษัทมีบริการ(Services)ครอบคลุมทางด้านการตลาด ออกแบบ การขนส่ง และการขายสินค้าบน Amazon.com คุณสามารถจบทุกกระบวนการในที่เดียวได้
ประการที่ 3 การลงทุนด้านการตลาด(Marketing) จะมอบสิ่งที่คุ้มค่าให้กับคุณ เพราะคือการส่งเสริมและทำให้ผลิตภัณฑ์ดูโดดเด่น หากไม่มีการลงทุนเลยแม้ผลิตภัณฑ์ดีแค่ไหน อาจไม่ประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างสินค้าที่ได้พัฒนา

ภาพด้านบนเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่ทางบริษัทได้เริ่มตั้งแต่การวิจัยตลาด ออกแบบบรรุภัณฑ์ไปจนถึงการส่งออกขายบนเว็บไซต์ Amazon.com ตัวอย่างเช่น Shophouse กาแฟโอเลี้ยง, DubbaDip สมุนไพรอบแห้ง, Tamarind Kitchen เครื่องแกงไทย, Creamy K ผงกะทิ
เครื่องมือการสร้างสรรค์
เทอเรสเทรียล มีฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาที่มีความรู้ด้านการออกแบบ และทราบข้อกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ถูกต้องในการออกแบบเพื่อนำเข้าสู่อเมริกาอย่างถูกต้อง เนื่องจากข้อมูลที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์หรือตัวสินค้าเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน


การออกแบบที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับ Concept ของผลิตภัณฑ์ว่ามีความแตกต่างจากคู่แข่งแค่ไหน เรามีกำลังการผลิตหรือสามารถลดต้นทุนได้ต่ำกว่าหรือเท่ากันคู่แข่งหรือไม่ ทุกปัจจัยนี้มีผลเกี่ยวเนื่องต่อความประสบความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ของคุณ
หากคุณยังคงมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการออกแบบที่ถูกต้อง หรือการส่งสินค้าเข้าไปขายยังประเทศอเมริกาได้อย่างปลอดภัย หรือจะเป็นเรื่องสินค้าที่ควรส่งหรือไม่คงรส่ง คุณสามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์ของเรา เราได้แชร์ข้อมูลที่มีประโยชน์ให้กับคุณ คลิก