การให้แสงสว่างในบ้านอาจไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด เนื่องจากมันมีรายละเอียดมากที่ต้องให้ความสำคัญ และปัจจัยต่างๆเช่น ความสะดวกสบาย อรรถประโยชน์ และความสวยงามรวมไปถึงการใช้งานได้จริง การใช้แสงแบบเลเยอร์จึงมีความสำคัญ

Layering lighting เป็นแนวคิดของการใช้เทคนิคแสงที่แตกต่างหลากหลายภายในพื้นที่เดียวในเวลาเดียวกัน การทำเช่นนี้ประสบความสำเร็จจะช่วยให้ความลึกและสร้างความน่าสนใจให้กับห้องต่างๆภายในบ้านของคุณได้ และมีมากมายหลายเทคนิคในการจัดสรรเลเยอร์สำหรับแสงดังกล่าว
Individual layer ของแสงประเภทแรก : Genaral Lighting หรือแสงโดยทั่วๆไป มันคือแสงสว่างรอบๆห้อง โดยรวมทั้งหมด ไม่ได้มุ่งเน้นไปในเฟอร์นิเจอร์หรือมุมใดมุมหนึ่งภายในห้อง มันจะสามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดด้วยแสงประเภทนี้ซึ่งแสงประเภทนี้นั้นมักเกิดจากหลอดไฟประเภท Downlight โดยจะต้องจัดสรรแสงในเลเยอร์นี้ให้ทั่วถึงภายในห้องสามารถส่องสว่างได้ทั่ว และควรกำหนดตำแหน่งของหลอดไฟ Downlight ให้พอดี
Individual Layer: Task Lighting (ไฟประเภทเน้นพื้นผิวของงานนั้นๆ) หมายถึงแสงที่มีไว้ใช้โฟกัสไปที่พื้นผิวหรือรายละเอียดต่างๆของเฟอร์นิเจอร์หรือมุมที่เราต้องการให้เห็นเพื่อให้มุมนั้นๆเด่นมากกว่ามุมอื่นๆภายในบ้าน มักจะใช้ตามผนังลายไม้มีลวดลายหรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีความสวยงาม ถ้ามองตัวอย่างจากในภาพประกอบคือใช้เน้นลายหินอ่อนบนเค้าเตอร์
Individual Layer: Accent Lighting (แสงที่ใช้เน้นวัตถุให้เด่นขึ้นมา) แสงประเภทนี้ถูกใช้เพื่อเน้นจุดที่ต้องการให้มีความน่าสนใขในห้องนั้นๆ โดยการยิงแสงเข้าไปที่ รูปภาพ ประติมากรรมหรือ เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ เสมืองการแรเงา ทำให้ห้องดูมีมิติมากยิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมเห็นได้โดยทั่วๆไปคือการสาดแสงใส่ผนังหรือกำแพงเพื่อไฮไลท์วัสดุบนผนังให้โดดเด่นขึ้นมา จากในภาพคือการใช้ไฟเป็นเส้นวางอยู่เหนือตู้เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดสายตา
เทคนิคการใช้ไฟแบบ Layer
Layering Light # 1 : รวมทุกอย่างเข้าด้วยกันเป็นเทคนิคที่น่าสนใจ เปิดไฟในทุกๆประเภทที่กล่าวมาทั้งหมดเพื่อให้ห้องนั้นสว่างสดใส และเห็นรายละเอียดโดยรวมได้มากที่สุด
Layering Light # 2 : เปิดความคิดสร้างสรรค์ไอเดียผสมผสานให้เข้ากัน การใช้งานจริงคุณไม่จำเป็นต้องเปิดไฟทั้งหมดที่มีอยู่ แต่คุณสามารถเลือกเปิดเฉพาะบางจุดเพื่อให้เกิดความน่าหลงไหลและมิติมากขึ้น
