การใช้งานกล้องถ่ายภาพทั่วๆไปคุณคงเคยคุ้นหูกับคำว่าปรับค่า F ให้รูรับแสงกว้างขึ้นหรือแคบลง เพื่อให้ได้ภาพที่คุณสามารถเลือกจุดโฟกัสตามที่คุณต้องการ รวมถึงการปรับความสว่างของภาพนั้นๆด้วยซึ่งการใช้งานในลักษณะนี้คือ F-Stop ซึ่งค่า F ที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปตามเลนส์ที่ใช้งาน เลนส์โดยส่วนใหญ่ที่เป็นเลนส์ถ่ายภาพทั่วๆไปที่เราใช้กันนั้นมักจะใช้ระบบรูรับแสงแบบ F-Stop ในทางกลับกันระบบรูรับแสงแบบ T-Stop มักจะถูกนิยมใช้อุตสาหกรรมภาพยนต์ระดับมืออาชีพมากกว่า ดังนั้นในบทความนี้เราจะพูดถึงความแตกต่างระหว่างเลนส์ที่มีระบบรูรับแสงแบบ F-Stop และ T-Stop ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร
หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆนั้นคือเลนส์ที่มีระบบรูรับแสงแบบ T-Stop จะถูกใช้ตามงานถ่ายภาพยนต์ใหญ่ๆระดับมืออาชีพ เนื่องจากมันมีความโดดเด่นเรื่องความต่อเนื่องของแสงเป็นสาเหตุหลักที่ถูกใช้ในงานวิดีโอและภาพยนต์มากกว่า F-Stop
สามารถเข้าใจได้ง่ายมากขึ้นโดยเมื่อคุณเปลี่ยนเลนส์ที่มีความยาวระยะต่างกันในการถ่ายที่มีระบบ T-Stop เหมือนกันช่างภาพจะสามารถวัดแสงที่อยู่บนเฟรมได้เท่ากันแตกต่างกับระบบ F-Stop ที่คุณจะต้องมานั่งปรับค่า F ทุกๆครั้งในการเปลี่ยนเลนส์เพื่อหาแสงที่พอดีที่สุดนั่นเอง (แต่ต้องตั้งค่ากล้องให้เหมือนกันและควรเป็นเลนส์ที่ผลิตจากผู้ผลิตเดียวกัน)
ลักษณะการทำงานและการรับแสงที่แตกต่างกันในระบบ F-Stop & T-Stop
- F-Stop มักใช้ในเลนส์ถ่ายภาพนิ่ง เป็นระบบกำหนดค่าแสงที่กล้องถ่ายภาพทั่วๆไปใช้กันมีทั้งระบบ Manual&Auto ส่วน T-Stop มักถูกใช้ในเลนส์ถ่ายภาพยนต์หรือถ่ายวิดีโอ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเลนส์ Manual ที่ต้องปรับโฟกัสเอง
F-Stop คือ ค่ารูรับแสง จะบอกขนาดของรูรับแสงที่ได้จากการคำนวนจากความยาวโฟกัสของเลนส์และเส้นผ่านศูนย์กลางของรูรับแสง พูดง่ายๆคือการวัดแสงจากหน้าเลนส์ จะสามารถวัดได้จากแสงที่ตกกระทบกับตัววัตถุ และยังไม่ผ่านกระบอกเลนส์จึงทำให้ค่า F-Stop จากเลนส์แต่ละตัวไม่เท่ากัน
T-Stop คือ ค่าแสงจริง ที่บ่งบอกปริมาณของแสงที่ได้จากการเปิดรูรับแสง (F-Stop) คำนวนผ่านตัวเลนส์จนมาถึงหน้าเซ็นเซอร์ภาพ จะเป็นการวัดแสงสะท้อนที่ผ่านกระบอกเลนส์มาจนถึงหน้าเซ็นเซอร์รับภาพทำให้แสงที่ได้จาก T-Stop ของเลนส์ทุกตัวจะมีความเที่ยงตรง

ซึ่งกฎการใช้ F-Stop & T-Stop ในด้านการปรับแสงไม่มีส่วนที่แตกต่างกันมากหากเปิดรูรับแสงกว้างก็จะได้ภาพที่มีความสว่างมากกว่า ระยะชัดตื้นกว่า มีภาพที่เป็นลักษณะละลายหลัง เกิดภาพสไตล์โบเก้ได้ง่ายกว่าการใช้รูรับแสงที่แคบเช่นเดียวกันทั้ง F&T-Stop

ภาพประกอบด้านล่างนี้จะสามารถอธิบายเปรียบเทียบความแตกต่างของเลนส์ทั้งสองแบบได้หากใช้กล้องตัวเดียวกันแต่เปลี่ยนเลนส์เพื่อถ่ายภาพภาพเดียวกัน
เลนส์ที่เป็น F-Stop อาจให้ความสว่างไม่เท่ากันเพราะความยาวโฟกัสของเลนส์มีผลต่อแสงที่เกิดขึ้นจริงๆ
เลนส์ที่เป็น T-Stop จะให้แสงสว่างที่เหมือนกันถึงแม้จะมีระยะเลนส์ที่แตกต่างกัน

สังเกตอย่างไรว่าเลนส์ตัวไหนเป็นระบบ T-Stop หรือ F-Stop เพียงแค่ดูวงแหวนที่อยู่ด้านท้ายเลนส์ จะเป็นวงแหวน T-Stop หรือ F-Stop ซึ่งตามตลาดทั่วๆไปแล้วเลนส์ T-Stop มักจะขายเป็นชุด ซึ่งจัดเลนส์ต่างๆออกมาให้เข้าชุดกันและสามารถใช้ด้วยกันได้
ดังนั้นหากจะสรุปให้เข้าใจได้ง่ายคือ T-Stop เหมาะกับงานวิดีโอและภาพยนต์ หรืองานที่ต้องการความแน่นอนของแสงที่สูงๆ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของภาพและการทำงาน T-Stop จะให้แสงที่คงที่ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเลนส์ Cinema ที่ใช้ระบบ Manual ส่วน F-Stop เป็นระบบรูรับแสงที่ใช้กับงานภาพถ่ายมากกว่า เน้นความคล่องตัว ใช้งานง่ายสามารถใช้ได้ทั้งระบ Manual และ Auto Focus

