Terrestrial White Paper – เปรียบเทียบการจัดส่งแบบ LCL และ FCL หลังจาก COVID

ภาพรวมเเละบทสรุปเบื้องต้น

อุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเลได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 จากที่เราได้เห็น

  • อัตราที่เพิ่มขึ้นของตู้คอนเทนเนอร์จากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกาประมาณ 10 เท่า
  • ระยะเวลาในการเดินเรือเพิ่มขึ้น 2 เท่า
  • ความไม่เเน่นอนในการเปลี่ยนแปลงกำหนดการบ่อยครั้ง

บทความนี้ จัดทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการขนส่งสินค้าโดยที่มีผู้ส่งออกหลายเจ้าแชร์ตู้คอนเทนเนอร์ร่วมกัน (LCL) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งตามสัญญา จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการขนส่งสินค้าทางทะเลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2567 และปีต่อไป

การเปรียบเทียบต้นทุนพื้นฐานของตู้ตคอนเทนเทอร์ขนาด 20 ฟุต และ 40 ฟุต HC ไปยังชายฝั่งตะวันออกและตะวันตกตอนนี้
  • ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ตู้คอนเทนเนอร์ HC ทั่วไปขนาด 20 ฟุตหรือ 40 ฟุต (จากแหลมฉบังไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ (USWC)) สามารถจองได้ในราคาประมาณ $1,500 หรือ $2,000 
  • ในช่วงต้นปี 2564 ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเดียวกันจะมีราคาอย่างน้อย $16,000 หรือ $20,000 ตามลำดับ
  • ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 การจัดส่งไปยังชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา (USEC) จะอยู่ที่ประมาณ $2200 และ $3000 
  • อย่างไรก็ตามในช่วงต้นปี 2564 การจัดส่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ $24,000 และ $32,000 ตามลำดับ
ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต กับ ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต แม้ว่าตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตจะมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต แต่โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายในการจองจะอยู่ที่ประมาณ 80% ของราคาตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต เหมาะสมที่จะส่งโดย 40 ‘หรือ 45’ ให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม การจำกัดสินค้าที่มีนำ้หนักมาก จะกำหนดให้ผู้ส่งออกให้ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุตเท่านั้น

* ไม่รวมเอกสารส่งออกหรือนำเข้า ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่ง พิธีการ การขนส่งสินค้า ภาษีนำเข้า ฯลฯ นี่เป็นเพียงค่าโดยสารพื้นฐานเท่านั้น ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม (ไม่รวมอากรขาเข้า) สามารถเพิ่มได้ประมาณ $10,000 – $15,000ต่อการจัดส่ง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในประเทศไทย

ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าภายในสหรัฐอเมริกา
  • ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ต้นทุนการขนส่งทางรถบรรทุกในสหรัฐฯ สามารถคาดการณ์ได้ คุณสามารถประเมินราคาได้ประมาณ $100 ต่อพาเลทที่วางซ้อนกันได้ทุกๆ 1,000 ไมล์ (1600 กม.)
  • ปัจจุบัน ราคารถบรรทุกเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 เท่า โดยเฉลี่ย และพาเลทแบบวางซ้อนกันได้จะมีราคาประมาณ $250 หากจัดส่งภายในไม่กี่ร้อยไมล์ และมีราคาสูงถึง $750 หากเดินทางข้ามประเทศ
  • อย่างไรก็ตาม หากคุณสามารถวางซ้อนพาเลทได้ อัตราจะลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง
  • หากคุณสามารถจองรถบรรทุกเต็มจำนวน (FTL) ได้ทั้งหมด อัตราค่าบริการของคุณจะดีขึ้นอย่างมาก และจะลดลงประมาณ 30% จากประสบการณ์ของเรา
  • ดังนั้น คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต ที่บรรจุพาเลทวางซ้อนกันได้ 20 พาเลท ที่เดินทางจากลอสแองเจลิสไปนิวยอร์ก (ซึ่งถือว่าเป็น FTL) ควรมีราคาประมาณ
    •  ((20 พาเลทที่วางซ้อนกันได้ x $750) / 2) = $7,500
    •  $7500 พร้อมส่วนลด 30% = $5,250
  • เป็นการประมาณการ แต่เป็นเพราะการจัดการการจัดส่งหลายสิบรายการในสหรัฐฯ นับตั้งแต่การระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น
  • ประเด็นสำคัญจากเรื่องนี้ก็คือ ถ้าคุณเปรียบเทียบค่าขนส่งทางทะเลจากกรุงเทพฯถึงสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ SMEs จะส่งตู้คอนเทนเนอร์เต็มตู้ไปยังชายฝั่งตะวันตกซึ่งถูกกว่า และส่งรถบรรทุก (หรือรถไฟ) ไปตลอดทาง
  • การส่งของเทียบเท่า 20 ฟุตจากประเทศไทยไปยังชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ อาจมีค่าใช้จ่าย $24,000 ทางทะเล หากใช้ท่าเรือชายฝั่งตะวันออกหรือผ่านท่าเรือชายฝั่งตะวันตก จะประมาณ $16,000 + $5,250 = $21,250 อันที่จริงมันน่าประหยัดได้มากกว่านี้จากเราสังเกตเห็น โดยทั่วไป คุณจะประหยัดเวลาขนส่งได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แม้ว่าลอสแองเจลิสหรือลองบีชยังคงมีจำนวนท่าเรือที่มากที่สุด ท่าเรือหลักทั้งหมดในสหรัฐอเมริกากำลังประสบปัญหาความแออัดอย่างรุนแรง เนื่องจากธุรกิจอื่นๆ มองหาการขนส่งไปยังที่อื่น
การวางพาเลทซ้อนกันนั้นจะช่วยลดค่าใช้จ่าย
  • เราเน้นธุรกิจ SME เพราะบริษัทขนาดใหญ่นั้นอาจมีสัญญาจองตู้จำนวนมากที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อยู่แล้ว
  • เราไม่รวมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่น ค่าการขนส่งระยะสั้น, ค่าศุลกากร, ภาษีนำเข้า,หรือ ค่าฝากของไว้ที่ศุลกากร ในการคำนวนแบบคร่าวๆนี้
การจองแบบพื้นที่ตู้คอนเทนเนอร์ล่วงหน้ามีหลักการทำงานอย่างไร

แทนที่จะจองตู้ทั้งตู้ทีเดียว เราใช้การจองเป็นพื้นที่แทนซึ่งปกติแล้วจะมีราคาที่ถูกกว่า ดังนั้นธุรกิจ SME ขนาดเล็กนั้นสามารถใช้บริการตู้ภายในช่วงเวลาที่กำหนด หมายความว่าผู้ใช้บริการไม่จำเป็นที่จะต้องส่งสินค้าทั้งหมดออกไปในคราวเดียว รูปแบบของตู้โดยปกติแล้วจะมีตู้ 20’ (จุได้ 20 พาเลท+) หรือ ตู้ 40’ (จุได้ 40 พาเลท+)

ธุรกิจ SME ขนาดเล็กจะตกลงที่จะส่งสินค้าจำนวนเท่ากับ 20 พาเลทภายในช่วงเวลาที่ตกลงกันซึ่งปกติแล้วจะประมาณ 2-3 เดือน ด้วยเรทราคาแบบคงที่

โดยหลักการแล้วการทำงานของการจองพื้นที่ตู้แบบล่วงหน้านั้นคือ แทนที่จะใช้การจองแบบเป็นตู้ SME นั้นจะจองแบบเป็นพื้นที่แทน เราร่วมมือกับ SME เพื่อที่จะกระจายพัสดุไปหลายๆตู้ในราคาที่เท่าเดิมหรือถูกกว่าการจองทั้งตู้

การทำแบบนี้มี 4 ข้อใหญ่ๆที่ SME จะได้ประโยชน์จากการใช้วิธีนี้
  • เวลาการผลิตและขนส่งที่พอดีกัน โดยทั่วไปแล้วธุรกิจขนาดเล็กจะรอจนกว่าการผลิตจะเสร็จก่อนที่จะส่งสินค้าทั้งหมดที่มีออกไป ซึ่งอาจใช้เวลา 6-8 สัปดาห์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยการขนส่งแบบทันท่วงที สินค้านั้นสามารถถูกส่งออกได้ในทันที่ที่ผลิตเสร็จ โดยปกติแล้วจะมีการแบ่ง 20 พาเลทไปในการขนส่ง 4 รอบ รอบละ 5 พาเลท (โดยมีการส่งทุกๆ 2 สัปดาห์ภายใน 8 สัปดาห์ของการทำสัญญา) โดยที่ลูกค้าปลายทาง(ผู้รับ) จะได้รับสินค้าชุดแรกในเร็วขึ้น 6 สัปดาห์เร็วขึ้น และสินค้าที่เหลือจะตามมาทุกๆ 2 สัปดาห์ และวิธีนี้จะช่วยให้ผู้รับสินค้าปลายทางมีเวลาในการเริ่มขายสืนค้า และช่วยลดค่าจัดเก็บสินค้าในโกดังเพราะมีสินค้าหมุนเวียนเรื่อยๆ
  • กระจายความเสี่ยง การล่าช้าของเรื่อหรือการระบาดระลอกใหม่ของโควิดจะเป็นปัญหาน้อยลง
  • ค่าใช้จ่ายจะถูกลง ตู้ 40’ HC นั้นถูกว่าตู้ 20’ HC เป็นอย่างมากถ้าเทียบปริมาณกัน และค่าจใช้จ่ายจะถูกลงเพราะในหนึ่งตู้นั้นมาหลายๆบริษัทมาร่วมแชร์กัน
  • ความยืดหยุ่น  เพียงแค่ 10 พาเลทก็สามารถทำสัญญาจองตู้กับเราได้ และตามหลักแล้วสามารถจองได้แบบไม่จำกัดด้วย อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วขนาดของสัญญาจะอยู่ที่ 20 ถึง 100 ตู้

สภาพการณ์ในความตรงต่อเวลาของการขนส่งทางเรือ (ตามภาพด้านล่าง) ยังคงอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง กราฟนี้แสดงถึงเวลามาตรฐานที่การขนส่งสินค้าเริ่มต้นจากการปิดตู้ออกจากโรงงาน เดินทางข้ามทะเล และเคีลยร์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือปลายทาง ช่วงก่อนการแพร่ระบาดของCovid-19นั้น การขนส่งทางเรือจะใช้เวลาแล้วสิ้นประมาณ 2 เดือน แต่ในปัจจุบันต้องใช้เวลาถึง 3เดือนครึ่ง – 4 เดือนในกระบวนการข้างต้น ความล่าช้านี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยที่ต้องพึ่งพาการขนส่งทางเรือเป็นครั้งคราว  วิธีที่สามารถบรรเทาปัญหานี้คือการส่งสินค้าให้บ่อยขึ้นโดยวิธี LCL และการลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการขนส่งล่าช้าอาจสามารถแก้ได้หากมีการทำสัญญาอย่างเป็นระบบกับบริษัทพันธมิตรส่งออกทางเรือที่สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ดังกล่าวได้

*Source: Flexport
ข้อสรุป
  • ค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้นของการขนส่งทางเรือนั้น หมายความว่าการส่งสินค้าแบบเต็มตู้อาจไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป เพราะไม่สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้
  • หากส่งสินค้าจากทวีปเอเชีย การขนส่งไปยังท่าเรือปลายทางที่อยู่ฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาอาจมีข้อได้เปรียบมากกว่าการขนส่งไปยังท่าเรือฝั่งตะวันออก ประเภทของการส่งที่นิยมใช้ต่อจากนี้มีแนวโน้มว่าจะเป็นการส่งแบบ LCL จากการทำสัญญากับบริษัทคู่ขนส่งในการการันตีการประหยัดค่าใช้จ่าย
  • อีกวิธีที่สร้างสรรค์ในการบรรเทาความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ความล่าช้าดังกล่าว เช่นการทำสัญญาจองพื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์ล่วงหน้า อาจะเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่สำคัญในอีก2ปีข้างหน้า

Souce : Terrestrial WHITE PAPER Comparing Thailand-USA LCL and FCL since COVID-19 worldwide

Prepared by:

Jengis Gonzalez

Manager, Terrestrial Co. Ltd.

Tags:

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.