คนไทยและคนทั่วโลกใช้งานอินเตอร์เน็ตมากกว่าเมื่อก่อนมาก ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมากจนอินเตอร์เน็ตกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ เราเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลาผ่านทางมือถือสมาร์ทโฟน,แท็บเล็ต,Laptops ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่พกพาติดตัวได้อย่างสะดวก หากเปรียบกับการทำการทำกลยุทธ์การตลาดแล้วต้องครอบคลุมถึงช่องทางออนไลน์ด้วย เนื่องจากในตอนนี้ไม่สามารถขายทางเดียวได้แล้วและควรเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าใช้เวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ต เชื่อมโยงในทุกๆช่องทางเข้าด้วยกัน เพื่อตอบสนองผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านทุกช่องทางการขายที่เป็นไปได้
ซึ่งจากการวิจัยได้ค้นพบว่าหลายๆคนไม่ได้ซื้อผ่านแค่ช่องทางเดียว การเสนอช่องทางการขายที่หลากหลายสามารถเพิ่มโอกาสให้กับลูกค้าทำให้พวกเขาสามารถสลับไปมาระหว่างช่องทางต่างๆก่อนตัดสินใจซื้อและมุ่งเน้นไปที่การตลาดออนไลน์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด ซึ่งกลยุทธ์หลายช่องทางนั้นเปิดโอกาสให้กับลูกค้ามีโอกาสเลือกช่องทางที่ใช้งานได้สะดวกที่สุด ด้วยการมีแพลตฟอร์มช่องทางการซื้อที่หลากหลายทำให้ผู้ขายสามารถปรับให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบันการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ (E-Commerce) กลายเป็นรูปแบบในการทำธุรกิจที่ได้รับความนิยม และถูกจับตามองอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2012 ที่ผ่านมาทั่วโลกมีมูลค่าการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
อัตราการเติบโตของตลาดออนไลน์
จากข้อมูลค่ายอดขายสินค้าผ่าน E-commerce พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปี ในปี 2558 หรือมูลค่า 2,320 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าในปี 2559 มูลค่าตลาดจะเพิ่มร้อยละ 23 และเพิ่มขึ้นมีมูลค่า 5,572 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 200,000 ล้านบาทในปี 2563 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาด ซึ่งเป็นการ สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มการขยายตัวทางการค้าของธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ตจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปใน ทิศทางเดียวกับ E-commerce

ทิศทางธุรกิจ E-commerce หรือธุรกิจขายปลีกอินเทอร์เน็ต ถือว่ามีแนวโน้มเติบโตโดยเฉพาะในปี 2559 ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณของการเติบโตทั้งในแง่ของมูลค่าและจำนวนการจัดตั้งธุรกิจ โดยคาดว่ามูลค่าตลาด E-commerce จะมีมูลค่าประมาณ 230,000-240,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตประมาณร้อยละ 15-20% ซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของธุรกิจ E-commerce โดยเฉพาะการทำธุรกิจการค้าบนมือถือ ซึ่งได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารและผู้คนเริ่มมีช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการบน Internet ได้มากขึ้น จึงทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่จำนวนมากมีหน้าร้านเฉพาะออนไลน์เท่านั้น
ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต มีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร ซึ่งทำให้มีช่องทางการเข้าถึงสินค้าและบริการบนอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น จึงทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนการซื้อขายมาสู่ระบบการค้าออนไลน์ โดยเห็นข้อดีของการค้าขายบนออนไลน์ เช่น ไม่ต้องลงทุนหน้าร้าน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างพนักงาน รวมทั้งสามารถเปิดขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงทำให้ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ตมีแนวโน้มที่จะแข่งขันอย่างรุนแรงมากขึ้น
via : dbd.go.th
จากสถิติการขายออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะมี Multichannel หรือ การให้บริการหลากหลายช่องทางออนไลน์นอกจาก Social Media สื่อสังคมออนไลน์และช่องทางการสั่งซื้อเวปไซต์การขายออนไลน์โดยเฉพาะในไทยแล้ว ผู้ประกอบการต่างๆที่ไม่อยากหยุดแค่ตลาดในประเทศสามารถมองหาลู่ทางขยายธุรกิจไปยังช่องทางออนไลน์ต่างประเทศได้
ทำไมเปิดการขายที่เว็บขายของต่างประเทศ จึงน่าสนใจคำตอบก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าตอนนี้ธุรกิจ E-commerce อัตราการเติบโตแต่จะสูงขึ้นทุกปี จากผลการสำรวจของ ETDA ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์ใหม่มาแรงธุรกิจ E-commerce 4.0 ที่การขายสินค้าและบริการออนไลน์สู่ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 23.06% (จากปีก่อนที่มีเพียง 13.47% ) ทั้งนี้เป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุน E-commerce ไทยให้ขยายตลาดไปได้ทั่วโลก และการเข้าถึงตลาดต่างประเทศนั้นก็ทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเรามีเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อคนทั้งโลกเข้าด้วยกันบนแพลตฟอร์มที่ออกแบบให้ใครก็เข้าถึงข้อมูลได้ อย่างเช่น Online Marketplace ของต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจจากหลากหลายประเทศเข้ามาเปิดการขายบนช่องทางเดียวกันได้ และนี่คือตัวอย่างของเว็บที่กำลังได้รับความสนใจในตอนนี้

Amazon
เป็นตลาดออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างรายได้กว่าปีละ 232.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์เบอร์ 1 ของโลก จากเดิมที่ Amazon มีสำหรับให้บริการลูกค้าในอเมริกาเท่านั้น แต่ปัจจุบันได้ขยายสาขาไปยังประเทศอื่นๆเช่น แคนาดา อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สิงค์โปร

Ebay
เป็นเว็บไซต์ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วโลกได้เข้ามาซื้อหรือขายสินค้ากันเพื่อเป็นตลาดกลางในการ ซื้อ ขาย ประมูล สินค้าต่างๆจากทั่วโลก ปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 400 ล้านชิ้น มีจำนวนผู้ที่เข้าไปซื้อ ขาย ประมูล สินค้า มากกว่า 200 ล้านคน มียอดซื้อ-ขายสินค้ามากกว่า 140,000 ล้านบาท/ปี ถือว่าเป็นตลาดออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอีกเช่นกัน

Shopify
ระบบหรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ช่วยในการสร้างร้านค้าออนไลน์ ให้ครบจบในขั้นตอนเดียว การใช้ Shopify นั้นถือว่าไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยากอย่างที่คิด เพราะตัวระบบ Shopify คือใช้งานง่ายมาก มีบริการซัพพอร์ตพ่อค้าแม่ค้าที่รวดร็ว อีกทั้งระบบของ Shopify คือ การสร้างร้านค้าสำเร็จรูป ซึ่งมีรูปแบบหรือเทมเพลตให้เราเลือกตามสไตล์หรือตามธีมที่เหมาะสมกับร้านเรา หลังจากเราสมัครใช้บริการก็สามารถเริ่มใส่ข้อมูลสินค้ารูปภาพต่างๆด้วยตัวเองได้ไม่ยาก

Taobao
เว็บไซต์สัญชาติจีนที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีร้านขายของออนไลน์ของตัวเองได้ เน้นแบรนด์หรือกิจการท้องถิ่น ร้านค้าปลีกส่วนบุคคล รูปแบบการซื้อขายจึงทำในลักษณะ C2C ที่ผู้บริโภคซื้อขายกับผู้บริโภค สินค้าที่ขายจึงมักเป็นของที่ซื้อขายได้เร็ว ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ได้สนใจเรื่องคุณภาพมากนักเพราะราคาถูก
นี่เป็นเพียงบางส่วนของเว็บไซต์ขายของในต่างประเทศที่เราแนะนำ แพลตฟอร์มไหนตอบโจทย์ธุรกิจของคุณก็ลองพิจารณาดู ส่วนตัวผู้ประกอบการเองต้องมีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เช่น หากต้องการส่งของไปขายอเมริกาต้องติดฉลากสินค้าอย่างไรให้ถูกต้อง หรือศึกษาประเภทสินค้าต้องห้ามนำเข้าเพื่อเตรียมความพร้อมให้ดีในการขายบนเวปไซต์ต่างประเทศ
จะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของตลาดออนไลน์ยื่งมีสูงขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันคนหันมาใช้อินเตอร์เน็ตและการออนไลน์มากยิ่งขึ้นและมีแนวโน้มว่าจะสูงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการควรเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าใช้เวลาอยู่กับอินเตอร์เน็ต เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์บนต่างประเทศเพื่อขยายธุรกิจและสามารถเพิ่มยอดขาย โดยแนะนำให้ขายออนไลน์ในประเทศและต่างประเทศ และหากสนใจเว็บไซต์ขายของออนไลน์อันดับ 1 ของโลกอย่าง Amazon แล้วล่ะก็สามารถติดต่อเทอเรสเทรียลได้เลย 🤩 เพราะเราเชี่ยวชาญและยินดีช่วยเหลือที่จะนำสินค้าของคุณไปวางบนอเมซอนและยังมีทีมงานที่มีคุณภาพสำหรับโลจิสติกส์ไปอเมริกา สนใจติดต่อเพิ่มเติมได้ที่ 📩 : hello@goterrestrial.com 📞 : 052-001667 , 090-2120234