Michelin Star รางวัลที่ร้านอาหารใฝ่ฝันอยากได้มาครอบครอง เพราะรางวัลนี้การันตีว่าร้านอาหารของตัวเองนั่นอร่อย ได้คุณภาพ และยังเป็นตัวช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาลิ้มลองด้วย

สองพี่น้อง André and Edouard Michelin ได้ก่อตั้งบริษัทผลิตยางรถยนต์ในชื่อว่า Michelin และในช่วงนั้นกิจการของทั้งคู่เรียกได้ว่าเจริญรุ่งเรืองและเติบโตอย่างเต็มที่ ทั้งคู่ก็เลยคิดว่าเราควรจัดทำคู่มือสำหรับคนขับขี่รถยนต์ โดยใช้ชื่อว่า Michelin Guide เพื่อให้พวกเขาได้สำรวจเส้นทาง โดยในคู่มือนั้นประกอบไปด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับนักเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น แผนที่ สถานที่พักผ่อน รวมไปถึงร้านอาหารด้วย
ร้านอาหารต่างๆ ที่ได้รับคำแนะนำจาก Michelin Guide ได้กลายเป็นหนึ่งในคู่มือท่องเที่ยวของโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว
และในปี คศ. 1931 เป็นปีแรกของการจัดทำ Michelin Guide ที่ใช้การจัดอันดับโดยให้คะแนนเป็นดาวมิชลิน ทั้งหมด 3 ระดับด้วยกัน โดยระดับสูงสุด คือ 3 ดาว รองลงมาเป็น 2 ดาว และ 1 ดาว ตามลำดับ และก็ยังคงใช้การให้คะแนนด้วยดาวมาจนถึงปัจจุบันด้วย
เกณฑ์การให้ดาวของ Michelin Guide คืออะไร ?
สำหรับเกณฑ์การตัดสินว่าร้านอาหารร้านไหน ควรได้ดาวมิชลินไปครอบครอง จะวัดจาก 5 เกณฑ์หลักๆ ด้วยกัน คือ
คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้
ความโดดเด่นของรสชาติ. และเทคนิคการรังสรรค์อาหาร
เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟที่นำเสนอผ่านมื้ออาหาร
ความคุ้มค่าสมราคา
ความคงที่ของรสชาติ

Michelin Star แต่ละระดับมีความหมายว่ายังไงบ้าง ?
⭐ 1 ดาว : High quality cooking, Worth it Stop !
ร้านอาหารที่ดีมีคุณภาพ การปรุงรสชาติสม่ำเสมอ ควรค่าแก่การหยุดแวะชิมระหว่างเดินทาง แต่ยังขาดเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่จะดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำ
⭐ ⭐ 2 ดาว : Excellent Cooking , Worth a Detour
ร้านอาหารรสชาติดี คุณภาพเยี่ยม มีการนำเสนอที่พิเศษและไม่ซ้ำใคร เหมาะกับการขับรถออกนอกเส้นทางเพื่อแวะชิม
⭐ ⭐ ⭐ 3 ดาว : Exceptional cuisine Worh a Special journeys !
สุดยอดร้านอาหารชั้นเลิศ ได้มาตรฐานทั้งรสชาติ เทคนิคการนำเสนอและรังสรรค์อาหารของเชฟที่ไม่เหมือนใคร เป็นร้านที่ควรค่าแก่การตั้งเป็นจุดมุ่งหมายเพื่อวางแผนออกเดินทางไปลองชิมโดยเฉพาะ

ตัวอย่างร้านเจ๊ไฝได้รับรางวัล Michelin Star ครั้งแรกในปี 2018 ก็ได้กลายเป็นร้านในตำนาน คนเยอะ จองคิวยาก กว่าจะได้กินต้องรอคิวกันเป็นเดือน
James Beard คือ…

เป็นรางวัลสำหรับเชฟ รุ่นใหม่
ที่มาของ James Beard Foundation ซึ่งเกิดขึ้นจากกลุ่มเพื่อนและนักเรียนที่เคยร่วมเรียนทำอาหารมากับเจมส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเรื่องการกินดีในอเมริกา พร้อมกับการมอบรางวัล James Beard Foundation Awards ขึ้นในปี 1990 ให้กับเชฟและร้านอาหารในวงการอาหารดี รวมทั้งยังมีการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับเชฟผู้มีความสามารถด้วย

ตัวอย่างเช่น Nora Pouillon หญิงสาวเจ้าของร้านอาหารออร์แกนิกแห่งแรกๆ ของอเมริกา ที่สนับสนุนการทำตลาดสีเขียวและส่งเสริมงานขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ได้รับรางวัล
นอกจากนี้มูลนิธิของเจมส์ยังทำโครงการสนับสนุนเรื่องการกินดีอีกหลากหลาย เช่น โครงการ Smart Catch ซึ่งเป็นการให้ความรู้เชฟในร้านอาหารต่างๆ เรื่องการเลือกเสิร์ฟปลาดีจากแหล่งประมงในโครงการ ที่ได้รับการยอมรับว่าทำงานอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นการรักษาสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าพวกเขาจะได้กินของดี ของอร่อยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม